2022-04-24 14:49:08 +05:30

19 lines
4.9 KiB
Plaintext

"ฉันเคยรู้จักนักกวีคนหนึ่ง ซึ่งนักกวีคนนั้นไม่ใช่ฉันนะ..."
ชายชุดเขียวกัดแอปเปิ้ลหนึ่งคำแล้วเล่าต่อ
ฉันเคยรู้จักนักกวีคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ในยุคสมัยที่ไฟแห่งสงครามเพิ่งจะสงบ และเถ้าถ่านเพิ่งจะดับมอดลง เขาได้เห็นความขัดแย้งละการพลัดพรากมามากมาย
ดังนั้นเขาจึงร้องเพลงไปยังฟากฟ้า บรรเลงเพลงด้วยหิน เขียนบทกวีถึงทะเล และทำการแสดงต่อหน้าหมู่ดาวบนท้องฟ้า
เพราะเขารู้ว่า ต้องมีใครสักคนรักษาบาดแผลของโลก จึงจำเป็นต้องมีคนหาทางสื่อสารกับพวกเขา
ถ้าสามารถทำให้ท้องฟ้า หิน ทะเล และดวงดาวตอบรับได้ เช่นนั้นดนตรีจะต้องสามารถสื่อสารกับทุกสิ่งได้อย่างแน่นอน
ในตอนแรกท้องฟ้าไม่ตอบรับอะไร มีแค่เงาของนกที่บินผ่านหน้าของเขาไป หินก็ไม่มีการตอบรับ มีเพียงน้ำที่หยดลงมาเท่านั้น ทะเลเองก็ไม่มีการตอบรับเช่นกัน มีเพียงไอทะเลที่มาพร้อมกับเค้าลางของพายุ
และในตอนแรก ดวงดาวก็ไม่มีการตอบรับเช่นกัน
นักกวีรู้ดีว่าดวงดาวบนท้องฟ้านั้นจะตอบรับอะไรได้
แต่นักกวีก็ไม่ถอดใจ ไม่ใช่เพราะความเชื่อในใจ แต่เป็นเพราะสัญชาตญาณของเขาเป็นแบบนี้นั่นเอง
ต่อมาทะเลก็มีการตอบรับ ป้อมรักษาการณ์เฝ้าระวังลมพายุได้ถูกตั้งขึ้นบนหน้าผาสูง และซิสเตอร์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น ได้ปรบมือชื่นชมให้กับการแสดงของเขา
ต่อมาหินก็ได้ตอบรับ และได้หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าแล้วพูดว่า "การแสดงของท่านยอดเยี่ยมอย่างไม่มีใครเทียบได้ แต่ถ้าครั้งต่อไป ท่านเมาและเทไวน์ลงบนหัวข้าอีกล่ะก็ ข้าจะโกรธท่าน"
ต่อมาท้องฟ้าก็ตอบรับ แต่จู่ ๆ เงาของนกที่บินผ่านก็ได้บดบังแสงอาทิตย์ นักกวีแหงนหน้าขึ้นมอง ก็ได้เห็นมังกรที่งดงามก็ค่อย ๆ ลงมาต่อหน้าเขา
"ฉันเคยคิดว่า ถ้าวันหนึ่งฉันสามารถสัมผัสหมู่ดาวได้ ฉันก็คงจะสามารถเรียกฝนดาวตกได้ อ่า จริงสิ เครื่องร่อนเวหานี้ก็คือการตอบรับของหมู่ดาว ที่ตกลงมาจากฟ้าเช่นเดียวกับเธอสินะ"
นักกวีชุดเขียวถือแกนแอปเปิ้ลและชี้ขึ้นไปบนฟ้า
"นักกวีคนนั้นไม่ใช่ฉันนะ บางทีเครื่องร่อนเวหานี้อาจจะตกลงมาจากฟ้า สองเรื่องนี้เธอเลือกได้นะ ว่าอยากให้เป็นเรื่องจริง เอะเฮะ"